ประวัติความเป็นมาวัดจำปานคร(วัดบ้านดงไหม่
)
ประมาณเมื่อปี
พ.ศ 2231
เมืองเวียงจันทร์ศูนย์กลางของอาณาจักรล้านช้างได้เกิดความไม่สงบ พระครูโพนสะเม็ด
พร้อมพรรคพวกประมาณ 3,000 คน
ได้อัญเชิญเจ้าหน่อกษัตริย์อพยพมาตามลำโขงในที่สุดได้ตั้งมั่นอยู่บริเวณเมืองจำปาศักดิ์
ซึ่งมีนางเพาและนางแพงเป็นหัวหน้าปกครอง ด้วยความเลื่อมศรัทธาในพระครูโพนสะเม็ด
นางเพาและนางแพงจึงนิมนต์ให้ท่านมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและปกครองเมืองจำปาศักดิ์
ต่อมาเจ้าหน่อกษัตริย์ได้รับสถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า
เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร
เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร
และพระครูโพนสะเม็ด(บางแห่งให้ชื่อว่าเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ด)
ได้ปรึกษษหาลือกันที่จะขยายเมืองออกไปให้กว้างขึ้นเพื่อจะได้มีอำนาจเหนือฝั่งแม่น้ำโขงจึงมอบหมายให้ราชวงศ์ผู้มีความชำนาญในการทำศึกและไว้วางพระราชหฤทัยไปครองเมืองต่างๆ
และไปสร้างเมืองขึ้นไหม่หลายๆเมืองภายใต้อาณาจักรเวียงจันทร์และเมืองจำปาศักดิ์
ผู้ก่อตั้งวัดจำปานคร (วัดบ้านดงไหม่)
ประวัติจารย์แก้ว
บรรพบุรุษชาวอีสาน
จารย์แก้ว หรือ ท่านแก้ว
หรือ เจ้าแก้วบูฮม หรือ เจ้าแก้วมงคล
ผู้ตั้งเมืองท่งศรีภูมิเป็นคนแรก และถือว่าเป็น บรรพบุรุษชาวอีสาน
มีประวัติความเป็นมาโดยสังเขป
พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต
ผู้ครองนครเวียงจันทร์ พร้อมกับพระครูทั้งหลายได้ประกอบพิธียกพระครูสีดา
ผู้ซึ่งรอบรู้พระไตรปิฎกและประพฤติธรรมอันสูงส่งขึ้นเป็นพระครูนามว่า
พระครูโพนสะเม็ด
พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุต
จัดหาโยมอุปัฏฐากปรนนิบัติพระครูโพนสะเม็ด 2 คน คือ เท้าแก้
ซึ่งเป็นพระราชนัดดาของพระองค์ และท้าวฮวด
ท้าวแก้วเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาดมาก
เรียนศีลปะความรู้ทั้งปวงสำเร็จทุกประการ เมื่อครบอายุ 21 ปี
ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ
ประมาณปี พ.ศ 2232 พระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตถึงแก่พิราลัย
พระองค์มีพระโอรสองหนึ่งพระชนมายุได้ 3 พรรษาทรงพระนามว่า
เจ้าหน่อกษัตริย์
พระยาเมืองแสน(หมายถึงผู้มีหน้าที่ในการกำกับกำกับฝ่ายทหาร)คิดจะชิงราชสมบัติแต่มีความเกรงกลัวพระครูโพนเสม็ด
จึงคิดจะกำจัดพระครูโพนสะเม็ดเสียก่อน
แต่ท่านครูโพนสะเม็ดล่วงรู้ความจริงจึงได้อัญเชิญเจ้าหน่อกษัตริย์และพระมารดาอพยพออกจากนครเวียงจันทร์ไปพำนักอยู่
ณ นครกาลจำบากนาคบุรีศรี โดยมีราษฎรชายหญิง 3,333 คน และ
พระภิกษุแก้ว พระภิกษุฮวดติดตามไปด้วย
ประมาณ พ.ศ 2256
พระครูโพนสะเม็ดพร้อมด้วยกรมการได้เชิญเจ้าหน่อกษัตริย์ขึ้นเป็นเจ้าเอกราชครองสมบัตินครกาลจำบากนาคบุรีถวายนาม
เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกรู และเปลี่ยนแปลงนาม นครกาลจำบากนาคบุรีศรี เป็น
นครจำปาศักดิ์นัคบุรีศรี
ประมาณ พ.ศ 2261 เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร
เห็นว่าท้าวจารย์แก้ว(พระภิกษุแก้วซึ่งลาสิกขาบทแล้ว) เป็นผู้มีความรู้
ความมารถจึงแต่งตั้งให้เป็นผู้เกณฑ์ไพร่พลประมาณ 3,000 คน
ไปตั้งบ้านเรือนปกครองเมืองท่ง (ทุ่ง) ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอสุวรรณภูมิ
ขึ้นตรงต่อนครจำปาศักดิ์ได้รับมอบหมายโดยปันเขตแดนให้รักษาเขตแดนป่าเหนือ
ตั้งแต่ยางสามต้น อ้นสามขวย หลักทอดยอด ยังตะวันออก
และข้ามฝั่งตะวันออกต่อแดนเวียดนาม
ข้ามฝั่งตะวันตกับแต่ห้ยก๊ากวากถึงปากขยุงแดนเมืองพิมาย
จะเห็นได้ว่าเขตแดนความรับผิดชอบการปกครองเมืองท่งของจารย์แก้วมีพื้นที่กว้างขวางที่อำเภอสุวรรณภูมิปัจจุบันหลายสิบเท่า
เมืองท่ง
มีปริศนาประจำเมืองว่า เมืองสระสี่แจ แฮ้งสี่ตัว แม่หญิงเอาผัว พ่อชายออกลูก
จารย์แก้วมีบุตรสามคนคือ ท้าวมืด ท้าวทน
ท้าวเพ
พ.ศ 2277
ท้าวแก้วถึงแก่กรรม ถือเป็นเจ้าเมืองคนที่หนึ่งและเป็นต้นบรรพบุรุษของชาวสุวรรณภูมิ
ปัจจุบัน
เมืองท่งศรีภูมิคือ บ้านดงไหม่ ต.ทุ่งศรีเมือง อ.สุวรรณภูมิ
จ.ร้อยเอ็ด แต่ก่อนนี้บ้านดงไหม่เรียกว่า แจ้งบ้าทุ่ง
เจ้าเมืองท่งศรีภูมิคนที่1-4
เมื่อจารย์แก้วถึงแก่กรรม เจ้ามืด
ผู้เป็นบุตรของจารย์แก้ว ได้เป็นเจ้าเมืองท่งศรีภูมิคนที่สอง
และเจ้ามืดคำดลมีบุตรสองคน คือท้าวเซียงและท้าวสุน แต่ครั้นลุถึงจุลศักราช 1125
ปีมะแม เบญศก พ.ศ 2306 เจ้ามืดคำดลป่วย
และถึงแก่อนิจกกรมลงเมืองแสน(ผู้มีหน้าที่กำกับฝ่ายทหาร) เมืองจันทร์
(ผู้มีหน้าที่รักษาประเพณีของเมือง มีใบบอกไปยังนครจำปาศักดิ์ขอยกอุปฮาด
(ตำแหน่งทำหน้าที่แทนเจ้าเมืองในเมื่อเจ้าเมืองไม่อยู่) คือท้าวทนต์
ผู้เป็นน้องชายของเท้ามืดให้เป็นผู้รักษารัชกาลเมืองท่งศรีภูมิสืบต่อมา
ท้าวทนต์ หรือ ท้าวทนต์มณี
เป็นบุตรคนที่สองของจารย์แก้ว ได้เป็นเจ้าเมืองท่งศรีภูมิคนที่สาม สืบต่อจากท้าวมืดผู้พี่(พ.ศ 2306-2310)
ในระหว่างนั้นเกิดความผิดขัดแย้งกับหลานชายคือท้าวเซียงและท้าวสูน(บุตรของท้าวมืด)โดยหลานชายทั้งสองคนได้คบติดกับกรมการเมืองอันมีเมืองแสน
เมืองจันทร์ ป็นต้น คิดหวังแย่งชิงเมืองท่งศรีภูมิ จากอาว (ท้าวทนต์)
พร้อมใจกันไปเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวพระที่นั่งสุริยามรินทร์ (เจ้าฟ้าเอกทัศน์)
ที่พระนครศรีอยุธยา เพื่อขอกำลังขับไล่ท้าวทนมณีย์ให้พ้นจากเมืองท่งศรีภูมิ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสุริยามรินทร์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้พระยาพรหมพระยากรมท่านำกองทัพจากกรุงศรีอยุธยา พร้อมกับให้ท้าวเซียง และท้าวสูนเชิญท้องตราพรราชสีห์มาถึงท้าวทนต์
และแจ้งว่าจะยอมอ่อนน้อมขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยาโดยดี หรือจะสู้รบ
ให้เลือกเอาและให้ตอบแม่ทับให้ทราบด้วยเมื่อท้าวทนต์เห็นตราพระราวสีห์และเห็นกองทัพยกมาเช่นนั้น
เห็นว่าเมืองท่งศรีภูมิเป็นเมืองเล็กกำลังพลมีน้อย ไม่สามารถจะสู้รบกับกองทับของกรุงศรีอุธยาได้
จึงได้แจ้งไปยังแม่ทัพว่า
ขอพึ่งบารมีพระบรมโพธิสมภารพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขอเป็นข้าน้อมขัณฑสีมาขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยาต่อไป
ท้าวทนได้พาครอบครัวหนีไปอยู่ที่บ้านดงเมืองจอก ริมท่งตะหมูม
ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภออาจสามมารถ จ. ร้อยเอ็ด
ส่วนพระยากรมท่าได้มีใบบอกไปทูลพระเจ้าสุริยามริทร์ให้ทรงพระกรุณาได้โปรดเกล้าฯ
แต่งตั้งท้าวเซียงเป็นเจ้าเมืองท่งศรีภูมิ
ส่วนท้าวสูสโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นอุปฮาดต่อไป
ลูกหลานทำหล้งคาบังแดด.เวลาฝนตกจะพังทลายลง
ตอบลบ